ไว้บันทึกเรื่องราวรอบๆตัว

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เกษตรกรอินทรีย์เต็มหัวใจ

ห้องเรียนปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกอง แม่โจ้

ลุงศรี อยู่บ้านแพะพัฒนา ต.เขื่อนผาก อ.พร้าว เชียงใหม่ เป็นเกษตรกรอินทรีย์เต็มหัวใจ สาเหตจากเมื่อ 10 ปีก่อนเคยต้องเข้านอนโรงพยาบาล เกือบตาย เนื่องจากไปทานผักสดที่แช่ในกะละมังของแม่ค้าส้มตำ สารเคมีที่มีในผักคงไปสะสมรวมกันในน้ำนั้น ทำให้แกเกือบตาย พอหายแกจึงสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ทานผักของใครอีก แต่จะปลูกผักอินทรีย์ทานเอง

คนแรกที่ขัดขวางความคิดนี้คือเมียแกครับ เพราะไม่เคยเห็นใครปลูกผักได้โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยและยาเคมี ทะเลาะกันแทบจะหย่าร้างกัน แต่แกก็พยายามลงมือทำ ฝึกปลูกอินทรีย์ไปเรื่อย ๆ เข้าเป็นหมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดิน จนปลูกได้สำเร็จ มีผักอินทรีย์ทาน จากการทำปุ๋ยหมักแบบพลิกกลับกองของกรมพัฒนาที่ดิน แถมมีปุ๋ยหมักเหลือพอแบ่งขายให้เพื่อนบ้านได้อีกด้วย ตอนหลังก็เลยชวนพรรคพวกที่มีหัวใจอินทรีย์เดียวกันเข้ากลุ่มกันทำงานและปลูกผักอินทรีย์ส่งขายในเมืองเชียงใหม่ 

ในปี 2547 แกเคยเข้ารับการฝึกอบรมการผลิตปุ๋ยหมักระบบกองเติมอากาศจากจารย์ลุง (แบบมีท่อ มีพัดลมอัดเข้ากองปุ๋ย เดือนเดียวเสร็จ - ตอนนี้เลิกสอนแล้วเพราะมีวิธีใหม่ง่ายกว่า) ก็รู้สึกว่าใช่เลย ระบบนี้จะช่วยการทำงานของแกได้เยอะเพราะไม่ต้องพลิกกลับกอง แต่ว่ามันต้องลงทุนค่าท่อค่าพัดลมหลายเงินอยู่ แกก็เลยต้องอด ..... แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่เคยยอมแพ้ แกคอยจะเทียวไปเทียวมา แวะมาเยี่ยม หรือโทรมา เพื่ออ้อนวอนว่าหากมีโครงการอะไรจะสนับสนุนเครื่องมือนี้ แกก็จะขอด้วย ... ทำอย่างนี้เป็นปี ๆ ครับ

ในปี 2548 ผมไปของบวิจัยจาก สวทช.ภาคเหนือได้ ก็เอาไปลงที่แก มีท่อ มีพัดลม แถมมีเครื่องย่อยเศษพืช (เอาไว้ตีปุ๋ยให้สวย) และเครื่องเย็บกระสอบ ให้กลุ่มของแกผลิตปุ๋ยหมักและขายในชุมชน แต่มีข้อแม้จะต้องเป็นฐานเรียนรู้ เป็นวิทยากรเองด้วย .... ตั้งแต่นั้นมา กลุ่มนี้ก็ผลิตปุ๋ยหมักกันเป็นเรื่องเป็นราว จากเศษพืชที่มีตามฤดูกาล ตั้งแต่กากถั่ว ฟาง ใบไม้ .... พอในปี 2552 เมื่อจารย์ลุงประกาศเลิกสอนระบบกองเติมอากาศ แต่สอนถ่ายทอดวิศวกรรมแม่โจ้ 1 แทน กลุ่มนี้ก็พลอยเลิกระบบกองเติมอากาศไปด้วย ... และเมื่อ 2 - 3 ปีก่อน แกนนำสำคัญของกลุ่มนี้คือกำนันประพันธ์ ได้ขึ้นไปเป็นนายกเทศมนตรี อบต.เขื่อนผาก ท่านก็ทำยุทธศาสตร์จะให้เป็นตำบลอินทรีย์ เพราะเห็นแล้วว่าการทำอินทรีย์นั้นไม่ยาก ยากแค่การทำปุ๋ยหมักเท่านั้น แต่จะได้ผักปลอดภัยทาน มีผักราคาสูง ๆ ไปขายในเมือง ปลูกน้อยแต่ได้มาก .... ตอนนี้ที่ ต.เขื่อนผากจึงมีแปลงอินทรีย์ 17 ไร่ ที่ อบต.ไปเช่าไว้ มีทุนค่าขี้วัวไม่จำกัดให้เกษตรกรที่สนใจจะเข้ามาเพาะปลูกอินทรีย์ในแปลงนี้ได้ใช้ทำปุ๋ยหมัก ... ซึ่งก็มีการตอบรับที่ดีจากทุกหมู่บ้านเพราะเห็นตัวอย่างจากกลุ่มของลุงศรีแล้ว

ลุงศรีจึงเป็นตัวอย่างของพวกเรา ในด้านที่ไม่เคยท้อ ไม่เคยยอมแพ้ มุ่งมั่น และไม่เคยรอโอกาสให้ลอยมา แต่จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ เสมอ ... ทำทันที ..... คนหัวใจอินทรีย์

จารย์ลุงไม่ได้ต่อต้านปุ๋ยเคมีนะครับ สำหรับการปลูกพืชเชิงเดี่ยวก็น่าจะยังต้องใช้เคมีอยู่ต่อไป แต่ถ้าดินเสีย ผลผลิตตกต่ำ ก็น่าจะลองหันมาบำรุงดินด้วยการทำปุ๋ยหมักวิธีใหม่ที่ไม่ต้องพลิกกอง ใส่แต่มูลสัตว์ สารอื่นไม่ต้องเลย สองเดือนเสร็จ อยากมีปุ๋ยหมักใช้มาก ๆ ก็ทำกองยาว ๆ

และสำหรับท่านที่มีหัวใจอินทรีย์ ตัวอย่างจากท่านที่ปลูกอินทรีย์ระดับคนในเมือง และเกษตรกร ก็มีให้เห็นมากมาย แต่ที่ผ่านมาปลูกผักปลูกข้าวอินทรีย์กันลำบากเพราะวิธีทำปุ๋ยหมักต้องพลิกกลับกอง ... แต่ตอนนี้มีวิธีใหม่ที่ไม่ต้องพลิกกลับกองแล้ว การปลูกแบบอินทรีย์ก็น่าจะง่ายขึ้นนะครับ

ตอนนี้เมียลุงศรีกลับเข้ามาอยู่ด้วยกันแล้วครับ แถมเป็นวิทยากรให้เกษตรกรอื่นที่สนใจด้วยครับ

ขอขอบคุณ สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ภาคเหนือครับที่ได้สนับสนุนจารย์ลุงมากมายหลายโครงการ











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น